วิธีเช็คแบตเตอรี่ของเรา ว่าอันไหนใกล้พัง? และต้องระวังอย่างไร?
หลายคนในตอนนี้อาจจะแค่กำลังกังวลว่าเปอร์เซ็นการเก็บแบตเตอรี่ของเครื่องตัวเองนั้นมีความจุดที่น้อยลง หรือว่าแบตของเรานั้นอาจจะเสื่อมเลยอาจจะไม่ได้สังเกตถึงสัญญาณของความอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบตพังไปจนถึงแบตเตอรี่ระเบิด วันนี้ในบทความของ Tamkung จะมาพูดถึงวิธีดูว่าแบตเตอรี่โทรศัพท์จะระเบิดเมื่อไหร่ หรือว่าสัญญาณอะไรที่จะช่วยบ่งบอกว่านี้ถึงเวลาแล้วที่เราต้องจัดการ
จริงๆ แล้วในทุกวันนี้ เราเองก็ถูกรายล้อมไปด้วยอุปกรณ์ที่สามารถก่อนประกายไฟได้ หรือเป็นอุปกรณ์ต่างๆ ที่สามารถเสี่ยงต่อการถูกไฟไหม้ได้ทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ดี มันก็ยังมีสัญญาณที่สามารถบอกเราได้ก่อนการเกิดปัญหาเรื่องของแบตเตอรี่นะครับ โดยอาการส่วนใหญ่ที่มักจะเกิดเป็นปัญหาต่างๆ ก็จะมาให้เราได้เห็นในหลายลักษณะ ทั้งที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า รวมถึงที่เราต้องตรวจสอบนะครับ
- อายุการใช้งานที่ลดลงไปอย่างรวดเร็ว
จริงๆ แบตเตอรี่ก็เป็นเหมือนที่กักเก็บไฟฟ้า ที่มันก็ต้องมีวันที่เสื่อมสภาพ โดยที่แบตเตอรี่ที่เราได้ใช้งานอยู่ก็เป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนซึ่งมีอายุการใช้งานจำกัด ซึ่งในตอนที่เราชาร์จแบตและตอนคายประจุออกมา มันก็ทำให้แบตเตอรี่นั้นมีความสามารถที่ลดลง นั่นเองที่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการใช้งานโทรศัพท์รุ่นเก่าๆ ถึงมีการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ต่ำกว่ารุ่นใหม่ๆ นั่นเอง
แต่หากเมื่อไหร่ที่เราใช้งานโทรศัพท์ของเราจาก 100% และลดลงเป็น 0% ภายในไม่กี่ชั่วโมง นั้นก็อาจจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าแบตเตอรี่ของเรามีปัญหา ซึ่งทางที่ดีเราก็อาจจะเอาไปตรวจที่ศูนย์โทรศัพท์ที่ได้มาตราฐาน รวมถึงเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะตามมาครับ
- แบตเตอรี่มีความบวมขึ้น
โดยปกติแล้ว แบตเตอรี่ในโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ นั้นจะทำให้เราไม่สามารถเปิดฝาหลังของเครื่องได้ แต่เมื่อใดก็ตาม ที่เรารู้สึกว่าโทรศัพท์ของเรานั้นมีความบวมขึ้นมาอย่างผิดปกติ ก็อยากจะให้สันนิฐานไว้ก่อนเลยว่าแบตเตอรี่นั้นบวม และก็ควรหยุดการใช้งานในทันที แล้วนำไปที่ศูนย์ของโทรศัพท์เพื่อทำการเช็คเครื่องเพื่อการซ่อมแซมต่อไป
โดยในระหว่างที่เราทำการรอเปลี่ยนแบตเตอรี่ ก็อย่าได้เอามันมาไว้ในบ้านหรือเก็บไว้นะครับ เพราะเนื่องจากมันอาจจะสามารถระเบิดหรือทำประกายไฟก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาครับ
- เกิดควันหรือมีกลิ่นออกมาจากอุปกรณ์ของเรา
หากจะให้เราสังเกตมันก็อาจจะไม่ได้เห็นเป็นเหมือนควันในร้านอาหารหรอกครับ เพราะว่าพลังงานมันอาจจะไม่ได้เยอะ แต่ก็ไม่อยากให้มีความชะล้าใจ มันก็สามารถเกิดได้ และสัญญาณมันก็ไม่ได้มีเยอะเลย เพียงแต่เราอาจจะได้กลิ่นที่ฉุนออกมาจากโทรศัพท์ของเราครับ ซึ่งเราควรนำออกมาห่างจากพื้นที่บ้าน หรือวางไว้บนพื้นคอนกรีตเพื่อไม่ให้ไฟมันเกิดการลุกลามได้
และที่สำคัญที่ผมจะบอก คือการหมั่นเช็คกลิ่นก็พอนะครับ และหลีกเลี่ยงในการสูดดมควันที่ปล่อยออกมาจากอุปกรณ์ของเรา เพราะมันมีสารเคมีค่างๆ ที่อาจจะเป็นอันตรายต่อตัวเราได้ครับ
- แบตเตอรี่รั่ว
เหตุการณ์นี้อาจจะไม่ค่อยได้พบเจอกันในปัจจุบัน แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นหากเราเห็นว่ามีน้ำอะไรก็ไม่รู้ ไหลออกมาจากโทรศัพท์ของเรา สิ่งที่ควรจะทำคือการนำมันออกจากพื้นที่ แล้วนำไปให้ช่างโทรศัพท์ได้ทำการตรวจเช็คครับ
- อุปกรณ์ของเรานั้นเสียหาย
หากเป็นอุบัติเหตุเล็กๆ เช่นทำเครื่องตกพื้น หรือหน้าจอแตกมันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาที่ใหญ่อะไร แต่เมื่อไหร่ที่มันได้เจอเรื่องราวที่เสียหายไปมากกว่านั้น เช่นการถูกรถทับ อันนี้สิ่งที่เราควรทำที่สุด คือการเลี่ยงเปิดเครื่องแล้วก็รีบนำเอาไปซ่อมให้เร็วที่สุดครับ
วิธีการป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่เสียหาย
- เปลี่ยนแบตเตอรี่ให้มีการใช้งานที่พร้อมเสมอ
จริงๆ แล้วการเปลี่ยนแบตนั้นอาจจะเป็นทางออกที่ดี ก่อนจะเกิดเรื่องราวทั้งหมดนะครับ แต่อย่างที่เราบอกไปว่า โทรศัพท์ในยุคปัจจุบันนี้ก็มีการพัฒนาในเรื่องของเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้มีมาตราฐานใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับกับอุปกรณ์เหล่านี้ ให้มีคุณภาพการใช้งานที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้งานอย่างเราๆ แต่หากเราพบปัญหา เราก็ทำได้เพียงการเปลี่ยนแบตเตอรี่นั่นแหละครับ ดีไม่ดี การเปลี่ยนแบตอาจจะทำให้การใช้งานโทรศัพท์หรืออุปกรณ์ต่างๆ นั้นดียิ่งขึ้นก็เป็นได้
- หลีกเลี่ยงการทำอุปกรณ์ของเราไปตากแดด
อุปกรณ์เหล่านี้ก็เหมือนมนุษย์ครับ มันก็คงไม่อยากตากแดดเหมือนกับมนุษย์เรา ทางที่ดี เราไม่ควรนำอุปกรณ์เหล่านี้ไปวางตากแดด หรือทำให้มันได้เจอกับแสงแดดโดยตรง เพื่อมันอาจจะทำให้แบตเตอรี่มีอุณหภูมิที่สูงขึ้น และนำไปสู่ความเสื่อมสภาพก่อนอายุไขของพวกมันครับ
- ควรใช้งานอุปกรณ์ในอุณหภูมิที่เหมาะสม
ก่อนที่เราจะแกะโทรศัพท์ของเรา มันจะมีการเขียนระบุได้ครับ ว่าควรใช้งานโทรศัพท์หรืออุปกรณ์ในอุณหภูมิไหนจะเป็นการดีที่สุด อย่างของ Apple กล่าวว่าควรใช้ iPhone ในอุณหภูมิตั้งแต่ 0-35 ° C เพราะฉะนั้นหากมีอุณหภูมิเครื่องที่สูง หรือสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิที่สูงไปมากกว่านี้ ก็อาจจะทำให้โทรศัพท์ของเรานั้นเกิดปัญหาได้ ทั้งการใช้งาน รวมถึงแบตเตอรี่ด้วยครับ
จริงๆ ในแทบจะทุกอุปกรณ์มันจะมีคำแนะนำอยู่ว่า เราควรจะทำอย่างไรกับเครื่องนั้นดี ยกตัวอย่างการชาร์จแบตของ iPhone ที่ Apple ได้แนะนำไว้คือ ให้เราชาร์จแบตให้มีไฟฟ้าประมาณ 50% ก่อนการเก็บเครื่อง เพื่อที่จะทำให้ตัวเครื่องได้มีการคายประจุจนหมด และจะสามารถเข้าสู่สถานะคายประจุอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งมันก็จะหมายถึงว่า iPhone เครื่องนี้จะไม่มีการเก็บประจุใดๆ ไว้เลย แต่จะแตกต่างตรงนี้หากชาร์จไปจนถึง 100% ตัวแบตก็อาจจะเสื่อมลงได้ เพราะมันทำการกักเก็บจนนานเกินไปนั่นเองครับ
และพยายามอย่าเอาอุปกรณ์ของเราไปเก็บไว้ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูงนะครับ เนื่องจากมันจะทำให้เครื่องและแบตเตอรี่มีความเสี่ยงที่จะคลายประจุที่มากขึ้น และอาจจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ เพราะผมเคยลืมเอาโน้ตบุ๊คเก็บในตู้กันชื้นมา 2 ปี พอกลับมาเปิดดู แบตเตอรี่ก็เสื่อมไปเลย ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้งานหนักมาก่อน เพราะฉะนั้นแล้วหากใครที่อยู่ในพื้นที่ความชื้นเยอะๆ ก็อาจจะลองมองหาตู้กันชื้น เพื่อรักษาอุปกรณ์ของเรานะครับ