เราทุกคนก็ต่างเคยเป็น "ผู้ร้าย" ในเรื่องเล่าของคนอื่นอยู่เสมอ
ผมเชื่อได้ว่าการที่คุณผู้อ่านเข้ามาอ่านบทความนี้ของผม คงต้องมีความเชื่อมโยงบางอย่าง เกี่ยวกับชื่อของบทความที่ว่า "เราทุกคนก็ต่างเคยเป็น 'ผู้ร้าย' ในเรื่องเล่าของคนอื่นอยู่เสมอ" แล้วการที่เราเป็นตัวร้ายในเรื่องราวของคนอื่นนั้น มันเป็นยังไง แล้วเราต้องทำอย่างไร
เชื่อว่าเราหลายคนนั้นก็พยายามที่จะเป็นคนดีในสายตาของคนอื่นอยู่แล้ว และเมื่อเราเป็นแบบนั้น มันก็ต้องมีทั้งคนที่ชอบเรา และคนที่ไม่ชอบเราเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นอยู่คู่กับมนุษย์เรา เพราะฉะนั้น มันไม่อยากเลยที่จะโดนนินทา ว่ากล่าว หรือการเอาเรื่องราวของเราไปเล่าให้เกิดความเสียหายได้
แม้เรื่องจะผ่านมาหลายปีแล้ว คนที่เคยกล่าวหาก็อาจจะลืมไปแล้ว ว่าพูดอะไรไว้กับใครบ้างแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่ผมได้รับรู้มา มันยังคงติดยึดแน่นในจิตใต้สำนึกครับ มันเป็นเรื่องราวที่อาจจะดูตลกนะ หากเรามานึกย้อนดู แต่วันเวลา ณ ขณะนั้นมันเป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นการเลือกตัดสินใจกับตัวเอง ว่าจะทำอย่างไร
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในวันนั้นคือ มีผู้คนมากมายบนโลกของเราที่ทั้งอยากจะเป็นเพื่อนกับเรา และอยากเอาเราเป็นเครื่องมือเพื่อบางสิ่งบางอย่าง เมื่อเขาไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็คอยจะทำลายทุกอย่างที่เรามีอยู่ อันนี้เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นกับตัวผมเอง ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่รู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่ผมได้รับรู้มาจริงๆ การที่เพื่อนของเรา เพื่อนที่สนิทมากๆ เอาเรื่องของเราไปพูดต่อกับคนอื่นๆ อย่างสนุกปาก แถมแต่งสีตีไข่เพิ่มเรื่องราว จนเพื่อนหลายคนที่เคยสนิทกับผมเองต้องตีตัวออกไป ผมไม่เข้าใจจนกระทั่ง เพื่อนอีกคนหนึ่งที่ได้ยินเรื่องราวนั้น เอามาเล่าให้ผมฟัง วันนั้นผมถึงได้เข้าใจ ซึ่งยอมรับตามตรง ผมรับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นมาจริงๆ ตอนนั้นผมต้องเลือกว่าจะทำอย่างไร เลือกจะตอบโต้ หรืออยู่นิ่งๆ ต่อไป
ในวันนั้นผมรู้ครับ ว่าอาจจะตัดสินใจผิด โดยการเลือกตอบโต้ออกไป ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ดูไม่ได้ผลและดูเหมือนว่าผมจะกลายเป็นผู้ร้ายจริงๆ ในตอนนี้ที่ผมกำลังเขียนบทความนี้ ผมเองก็ได้ตระหนักถึงความเป็นจริงของมนุษย์เราที่ว่า เราอาศัยอยู่ในโลกที่มีความขัดแย้งกันไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งมันก็อาจจะเกิดเป็นเรื่องราวที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ และเราต่างก็เคยพบเจอกับคนที่ไม่ดี และนั้นก็เป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราหรือคนอื่นนั้นเป็นคนไม่ดี ทุกคนต่างดำเนินชีวิตตามเรื่องราวของตนเอง และสำหรับพวกเขา โลกก็หมุนรอบตัวพวกเขา เราทุกคนอาศัยอยู่ร่วมกันบนโลกนี้ และอาจจะใกล้กันทางร่างกาย แต่ก็อยู่คนละโลกกับสิ่งที่เรารับรู้
จริงๆ แล้วหากในตอนนั้นผมได้เลือกวิธีที่นิ่งเฉยแล้วละก็ ในวันที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ ก็อาจจะมีเนื้อความที่ต่างไปนะครับ เพราะผมคิดว่าหากในตอนนั้นผมเลือกที่จะนิ่งเฉย ผมเองก็อาจจะโตมากกว่านี้ เข้าใจโลก และเข้าใจว่าเราควรจะทำตัวอย่างไรกับคนอื่นๆ อีก เพราะการนิ่งเฉยในที่นี้ หมายถึงการปล่อยมันไป ไม่ได้สนใจเรื่องราวที่คนอื่นๆ นั้นได้พูดถึงเรา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย สุดท้ายคนที่รู้เรื่องดีก็คือตัวเรานั้นแหละครับ การที่เราออกไปตอบโต้ ก็อาจจะดูเหมือนกับว่าเราเป็นคนก้าวร้าว หรือเป็นคนที่ไม่พอใจกับเรื่องที่ไม่เป็นความจริงก็ได้ ซึ่งมันอาจจะส่งผลอะไรตามมาก็เป็นได้
แต่อย่างที่เรารู้ ว่าเรื่องราวทุกเรื่องมักจะมีสองด้านอยู่เสมอ และในโลกสีเทาๆ ใบนี้ก็ไม่มีใครที่เป็นตัวเอกหรือผู้ร้ายอย่างแท้จริง แต่ทั้งหมดมันขึ้นอยู่ที่ว่า เรื่องราวของเขาถูกเล่าจากมุมมองของใครมากกว่า ในบางครั้งมันก็เป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนความคิดที่คนอื่นมีต่อเรา และแม้ว่าเราจะทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว แต่เราก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกตัดสินจากคนอื่นได้อยู่ดีนั้นแหละครับ
สุดท้ายนี้ก็ขอเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆ คนที่กำลังตกอยู่ในสภาวะอะไรแบบนี้นะครับ บ้างก็อาจจะไม่เคยโดน หรือบ้างก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง อยากจะบอกเอาไว้ว่า ต่อให้เขาจะไม่เห็นคุณค่าในตัวของเรา เราก็ต้องอย่าลืมคุณค่าที่มีในตัวของเราเองนะครับ ถึงแม้คนอื่นจะมองเรายังไง แต่เราก็คือ ‘ตัวเอก’ ในชีวิตของตัวเองเสมอ และคุณค่าที่แท้จริงของเราก็ไม่เคยลดลงไปแค่เพียงเพราะว่าใครบางคนมองไม่เห็นมันนะครับ