รู้จักกับ Soft Power พลังที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลก?
เรียกได้ว่าเป็นกระแสสังคมกันเลย กับพลังของ Soft Power ที่ไม่ว่าเราจะมองไปทางไหน ก็จะเห็นคำคำนี้อยู่ทั่วทุกที่กันเลย ทั้งบนอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย ซึ่งหลายคนก็อาจจะรู้ถึงความหมายของมันแล้ว แต่ผมเองก็เชื่อว่ายังมีหลายคนที่ยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร วันนี้ในบทความของเรา จะพาทุกคนไปพูดคุยกันในเรื่องของ "Soft Power" พลังที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลก
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจถึงความหมายโดยตรงของคำว่า Soft Power กันก่อนดีกว่าครับ เพราะว่าถ้าเอาไปใช้งานกับเรื่องอื่นๆ มันก็อาจจะมีการตีความหมายที่แตกต่างกันไป โดยจะสามารถแปลเป็นภาษาไทยว่า "อำนาจอ่อน" โดยถ้าหากให้เราเอาความหมายมาแปลความหมายอีกที ตัวอำนาจอ่อนมันก็คือ การขยายอิทธิพลในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางด้านของความคิด การได้มีคนอื่นมามีส่วนร่วม หรือการเปลี่ยนแปลงเรื่องพฤติกรรมของผู้อื่น โดยไม่ได้ใช้อำนาจที่ตรงกันข้ามอย่าง Hard Power ที่จะเป็นการใช้อำนาจเพื่อบังคับ เช่นอำนาจด้านเศรษฐกิจ อำนาจทางการทหารเป็นต้น โดยโจเซฟ เนย์ (Joseph S. Nye) นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันได้จำแนก Soft Power เป็น 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ วัฒนธรรม ค่านิยมทางการเมือง และนโยบายการต่างประเทศ
ซึ่งตัว Soft Power ที่ผมบอกว่าความหมายมันอาจจะไม่ได้หมายถึงอำนาจอ่อนเสมอไป นั้นก็เพราะว่า แต่ละประเทศที่นำเอา Soft Power มาประยุกต์ใช้กับนโยบายหรือการบริหารประเทศนั้นก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ละภูมิภาค
ยกตัวอย่างประเทศแถบบ้านเราอย่าง ญี่ปุ่น ที่ได้ทำให้ Soft Power กลายมาเป็น Cool Japan และนโยบายแบบใช้ "ไม้อ่อน" ดั่งที่เราจะได้เห็นได้ในปี 1998 ที่ญี่ปุ่นเริ่มมีการส่งออกรายการทีวี อุตสาหกรรมสื่อ และความบันเทิงอย่าง Animation หนังสือการ์ตูน เพลง Pop และไอดอลสู่ประเทศในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการนำเอาวิถีชีวิตแบบคนญี่ปุ่นและภาพความเป็นญี่ปุ่นในแบบใหม่ๆ ออกมาแสดงให้โลกได้เห็น
จริงๆ แล้วในเบื้องลึกเบื้องหลังของวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่มีการเผยแพร่ออกมานั้นเป็นการสร้างนโยบายและการสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จากภาครัฐ ที่เป็นส่วนในการผลักดันที่สำคัญ เพื่อให้ชื่อของประเทศญี่ปุ่น รวมถึงวัฒนธรรมนั้นถูกจดจำไปทั่วโลก
หรือจะเป็นประเทศที่มี Soft Power ที่โด่งดังอย่างมาในภูมิภาคเอเชียบ้านเราอย่าง ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งก็ได้มีการขยายอิทธิพลของวัฒนธรรมเกาหลี มาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1990 ซึ่งเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกาหลีได้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ที่จะส่งออกอิทธิพลทั้ง K-Pop ที่เป็นส่วนหนึ่งของการยกเครื่องภาคศิลปะและความบันเทิงของเกาหลีเพื่อแสดง ภาพ อำนาจทางวัฒนธรรมอย่างชัดเจน
ซึ่งตัว K-Pop นี่แหละที่เป็นตัวแทนของชาติที่แตกต่างกลับนำเสนอโอกาสสำหรับวัฒนธรรมและการครอบงำทางเศรษฐกิจผ่านการรวบรวมการแสดงออกทางศิลปะ ซึ่งก็ได้ผสมผสานทางวัฒนธรรมของภาษา รูปแบบภาพ และการเต้นรำ ล้วนแต่หล่อเลี้ยงโดยค่านิยมการผลิตของเกาหลีใต้และผู้สร้างเพลงระดับนานาชาติเลย
มาลองมองประเทศจีนกันบ้าง ที่ว่าเป็นประเทศที่ใช้Soft Power หรือไม่ เพราะเราก็คงจะได้เห็นข่าวอยู่มากมายว่า ประเทศจีนเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่งของโลก ที่ขึ้นชื่อเรื่องการเมือง การทหารมาก แล้วเขาจะมีพลังอ่อนบ้างหรือไม่
โดยตามการจัดอันดับประเทศที่มีดัชนีด้าน Soft Power ที่จัดโดย Portland CommunicationsและUSC Center on Public Diplomacy ก็ได้จัดให้ประเทศจีนอยู่ในอันดับที่ 27 จาก 30 อันดับในเรื่องของดัชนี Soft Power ของปี 2018 และ 2019 ซึ่งเป็นในด้านของ "ผู้นำทางวัฒนธรรม"
ซึ่งจากวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนก็กลายเป็นแหล่งดึงดูดใจ โดยสร้างสถาบันขงจื๊อ ขึ้นหลายร้อยแห่ง ทั่วโลกเพื่อสอนภาษาและวัฒนธรรม หรือแม้แต่เรื่องของการแลกเปลี่ยนทางการศึกษา ที่กลายเป็นจุดหมายของเหล่านักศึกษาต่างประเทศ หรือจะเป็นเรื่องของสื่อต่างประเทศก็ตาม ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศจีนก็พยายามทำ Soft Power เป็นของตัวเอง แต่ก็ต้องดูกันต่อไปในระยะยาวกันต่อไป
ทีนี้เราขอย้อนกลับมาที่ประเทศไทยของเรา กับ Soft Power ที่เป็นเหมือนเอกลักษณ์ที่ทำให้คนทั่วโลกได้รู้จักเรา อย่างอาหาร การบริการ หรือพวกศิลปะ แม่ไม้มวยไทยก็เช่นกันครับ รวมไปถึงเรื่องที่เหมือนๆ กับประเทศอื่นๆ อย่างละครและภาพยนตร์ไทย เพราะก็มีอิทธิพลไปประเทศใกล้เคียง รวมไปถึงโด่งดังข้ามทวีปก็มี ซึ่งรวมๆ ผมมองว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจ และยิ่งหากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐแบบจริงๆ จังๆ เหมือนอย่างประเทศอื่นๆ เขา ตัว Soft Power ของไทยเราเองนั้นก็น่าจะได้ผลไม่น้อยเลยทีเดียว
เช่นเดียวกับที่เราได้เห็นข่าวในช่วงหลายวันที่ผ่านมากับข่าว "MILLI "มิลลิ" Coachella 2022 Rapper สาว พลังขับเคลื่อน 'Soft Power' นำความเป็นไทยสู่เวทีโลก ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกคนเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยเรา ได้นำพลังอ่อนออกไปเผยแพร่ในต่างประเทศได้ เพราะแค่ขนาดในบ้านเรา ก็ทำให้สถิติข้าวเหนียวมะม่วงฟีเวอร์ถลุงกว่า 3.5 เท่าภายใน 24 ชั่วโมงกันเลย หรือจะเป็น Lisa วง BlackPink ที่จุดกระแส 'ลูกชิ้นยืนกิน" ที่เล่นเอาเหล่าพ่อค้า แม่ค้าเขาขายได้เป็นเทน้ำเทท่าเลย
โดย Soft Power ที่ว่ามานั้นก็ต้องมีประโยชน์ในทุกรูปแบบแก่ประเทศชาติ ประชาชน ธุรกิจ และองค์กรทุกรูปแบบและทุกขนาด โดยตราสินค้าของประเทศที่แข็งแกร่งและทัศนคติเชิงบวก ที่ทำให้ประเทศสามารถส่งเสริมตัวเองให้เป็นสถานที่สำหรับให้ผู้คนมาเยี่ยมชม ลงทุน และสร้างชื่อเสียงในด้านคุณภาพของสินค้าและบริการ นอกจากนี้ยังช่วยให้ประเทศได้รับเกียรติจากเพื่อนบ้าน ทำการตลาดทรัพยากรและนำเสนอหน้าตาของประเทศบนเวทีระหว่างประเทศอีกด้วยละครับ
ไม่อยากจะคิดนะครับ ว่าหากในไทยเรานั้นมีการผลักดันเรื่อง Soft Power อย่างจริงจัง และได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จริงๆ จากรัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐ การจะเอาวัฒนธรรมของไทยไปเผยแพร่เพื่อให้ทั่วโลกได้รู้จักเรานั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะยากเท่าไหร่เลยนะครับ ซึ่งนอกจากนั้นแล้ว การเติบโตเรื่องนี้ยังจำเป็นต้องพึ่งพานโยบายที่สร้างสรรค์ ไม่ปิดกันโดยความคิดเห็นของผู้คนในวงการจริงๆ จังๆ เพื่อการจัดการให้ถูกจุด และแผนที่ต้องทันยุคทันสมัยเพื่อก้าวให้ทันโลกของเรานั้นเองละครับ
ว่าแต่เพื่อนๆ ที่อ่านบทความของ TamKung มีความคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ที่ช่องคอมเมนต์นะครับ
ขอขอบคุณข้อมูลประกอบทความ
tandfonline | thediplomat | cfr | brandfinance | positioningmag