เมื่อหลายวันที่ผ่านมา ผมเองก็พึ่งได้ตกใจเมื่อได้เห็นการเปิดตัวสินค้าใหม่ของ Apple ในงาน Apple Event: Peek performace มีสินค้าที่น่าสนใจอยู่ 3 อย่าง นั้นคือ iPhoneSE iPad Air และ Mac Studio ซึ่งผมขอยอมรับในฐานะของสาวก Apple ครับว่า ผมตื่นเต้นมากๆ กับสินค้าและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปิดตัวมา แต่ในบทความของ TamKung วันนี้เราจะมาเริ่มพูดถึงสินค้าอย่าง iPad Air 5 vs iPad Air 4 รุ่นไหนดียังไง และควรซื้อไหม เรามาดูกันเลย

ก่อนอื่นต้องอธิบายถึงข้อมูลทางเทคนิคแบบคร่าวๆ ของ iPad Air 5 กันก่อน โดยรุ่นนี้ถือว่ามีการปรับปรุงรายละเอียดที่ค่อนข้างมากนะครับ

  • ชิป M1 ที่พร้อม CPU จำนวน 8-Core และ GPU จำนวน 8-Core แถมมี Neural Engine อีก 16-Core ที่จะช่วยให้ทำงานของ AI นั้นเร็วขึ้นในด้านการประมวลผลกราฟิกและการเล่นเกม และ RAM ขนาด 8GB ใช้งานบนระบบปฏิบัติการ iPadOS
  • หน้าจอแบบ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว มีการเคลือบผิวป้องกันแสงสะท้อนด้วย และยังคงใช้ปุ่ม Touch ID เพื่อใช้ลายนิ้วมือของเราในการปลดล็อค iPad
  • กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด ƒ/1.8 ซูมดิจิทัลได้สูงสุด 5 เท่าพร้อมฟีเจอร์อย่าง Center-Stage ที่จะช่วยให้กล้องแพนตามการเคลื่อนไหวของเราได้ แบบอัตโนมัติ และรองรับการถ่ายวิดีโอขนาด 4K สูงสุด 60 fps (มีกันสั่นใน 4K ด้วย)
  • การเชื่อมต่อเป็น USB-C หรือ USB 3.1 รุ่นที่ 2 สามารถใช้งานกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 และ Magic Keyboard ได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมรองรับ Wi-Fi 6 และในรุ่น Wi-Fi + Cellular ก็รองรับ Nano-SIM และแบบ eSim

เอาเป็นว่ามีการอัพเกรดจากรุ่น iPad Air 4 มาอยู่หลายจุดครับ โดยที่เราจะเริ่มเห็นได้ที่ในส่วนของชิปประมวลผล ที่รุ่นก่อนหน้านี้ ทาง Apple ยังคงใช้ชิปประมวลผลแบบ A14 Bionic ที่พัฒนาจาก Intel หรือแบบเดียวกันที่ใช้ใน iPhone แต่พอมารุ่นนี้อย่าง iPad Air 5 ก็ได้เปลี่ยนการใช้ชิปประมวลผลเป็น ชิป Apple M1 ซึ่งเป็นชิปประมวลผลที่ทาง Apple ได้พัฒนาขึ้นมาเอง ซึ่งส่วนใหญ่ที่ใช้ชิปตัวนี้ จะเป็นอุปกรณ์รุ่นใหญ่ๆ อย่าง iPad Pro หรือบน Macbook Air เลยละครับ

https://sls-prod.api-onscene.com/partner_files/trueidintrend/268543/Apple-iPad-Air-Magic-Keyboard-220308_big_carousel.jpg.large_.jpg

สืบเนื่องมาจากการใช้ชิป M1 ที่เอามาใส่ใน iPad Air ตัวนี้จะช่วยทำให้ตัว iPad มีขุมพลังอันมหาศาลในการประมวลผลต่างๆ ทั้งการทำกราฟิก หรือการเล่นเกมก็เต็มไปด้วยความลื่นไหลมากยิ่งขึ้น ทำงานได้เร็วมากยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนเรามี iPad Pro มาใช้งานในราคาที่จับต้องได้

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของกล้องหน้ามีการอัพเกรดขึ้นด้วย จากรุ่นเดิมที่ใช้กล้องความละเอียดเพียง 7 ล้านพิกเซล ก็ได้เปลี่ยนมาใช้กล้องแบบ Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่จะสามารถทำให้เก็บภาพได้กว้างมากยิ่งขึ้น แถมมาพร้อมความสามารถในการรองรับฟีเจอร์อย่าง Center-Stage ที่เป็นส่วนสำคัญในตอนประชุมผ่านโปรแกรมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Zoom หรือ Google Meet ก็จะสามารถทำให้กล้องจับภาพตัวเรา และแพนตามเราได้แบบอัตโนมัตินั้นเอง ซึ่งตัวเก่าจะทำไม่ได้

และการถ่ายวิดีโอนี้ รุ่นเก่าเองจะไม่ได้มีเรื่องของช่วงไดนามิกที่กว้างเท่ารุ่นใหม่ครับ ทำให้ iPad Air 5 นี้สามารถเก็บรายละเอียดของแสง สีได้มากกว่าในโหมดการถ่ายวิดีโอ ซึ่งมีอัตราความเร็วของเฟรมสูงสุด 30 fps

ในรุ่นของ Wi-Fi + Cellular นั้นจะมีความสามารถในการรองรับการเชื่อมต่อสัญญาณ 5G ได้ที่หลายๆ เครือข่ายกำลังจะเอามาใช้ในประเทศไทยของเรา เพื่อสัญญาณที่จะเชื่อมต่อได้เร็วและแรงมากยิ่งขึ้น โดยที่ในรุ่นก่อนหน้านี้จะรองรับได้ถึงเพียงแค่สัญญาณ 4G เท่านั้นครับ

ในส่วนของพอร์ตการเชื่อมต่อจากเดิมที่รุ่นเก่าใช้คือพอร์ต USB-C port รุ่นเก่า แต่ในครั้งนี้ทาง Apple ได้เคลมว่าการโอนถ่ายข้อมูลจะทำได้เร็วขึ้น 2 เท่าเลยละครับ

https://sls-prod.api-onscene.com/partner_files/trueidintrend/268543/Apple-iPad-Air-iPadOS-muiltitask-220308.jpg

รองรับการใช้งานในอุปกรณ์อย่าง Apple Pencil รุ่นที่ 2 และ Smart Keyboard Folio ที่จะสามารถช่วยให้เรียน เขียน จดได้ง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วยครับ ซึ่งอันนี้ผมอยากจะแนะนำว่า หากใครที่กำลังจะซื้อ ก็อยากให้ลองมองเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก เพื่อซื้อเอาไปใช้งานควบคู่กันไป เพราะมันจะง่ายต่อการทำงาน พกเพียง iPad Air บางๆ ออกไปทำงานที่ไหนก็ได้ ซึ่งผมเองก็กำลังจะไปซื้อมาใช้กับ iPad ของผม ถ้าได้มาแล้ว เดี๋ยวจะเอามารีวิวให้ดูนะครับ

ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้หากเป็นผู้ใช้งานทั่วๆ ไป เอาไว้ดูหนัง ฟังเพลง ดู TrueID แล้วละก็อาจจะไม่ต้องสนใจในเรื่องของรายละเอียดยิบย่อยก็ได้ครับ รอฟังคำแนะนำกันดีกว่า ว่าเราควรซื้อรุ่นไหน และเพราะอะไร

หากคุณผู้อ่านต้องการ iPad Air ที่เน้นพกพาง่าย การเชื่อมต่อดีๆ ใช้สัญญาณ 5G และการประมวลผมที่เร็ว ผมก็อยากจะแนะนำให้เลือกเป็น iPad Air 5 (ชิป M1) รุ่น Wi-Fi + Cellular ไปเลยครับ เพราะอย่างที่บอกว่าหลายๆ ความสามารถมันก็มาพร้อมกับเทคโนโลยีในปัจจุบันและอนาคต

แต่ถ้าหากถามว่า แล้วรุ่น iPad Air 4 (ชิป A14 Bionic) ยังน่าซื้ออยู่หรือไม่ ก็ต้องบอกว่ามันก็ยังน่าใช้อยู่ครับ เพราะก็พึ่งออกมาได้ไม่กี่ปี แถมการใช้งานทั่วไปก็เหมือนกัน แต่แค่อาจจะช้าบ้างนิดหน่อย ถึงบอกว่าหากเอาใช้งานทั่วไปที่ไม่หนักมาก เอาไว้ดูหนัง ฟังเพลงผ่าน TrueID ก็ทำงานได้สบายๆ ครับ ถ้าว่ากันตามตรง มันก็ไม่ได้มีจุดที่ทำให้สังเกตเห็นถึงความแตกต่างมากครับ

https://sls-prod.api-onscene.com/partner_files/trueidintrend/268543/madalyn-cox-y1Ga4ULi6Dg-unsplash.jpg

ในส่วนของราคา iPad Air 5 (ชิป M1) ตามราคาของทาง Apple ก็ได้ให้ราคาที่ค่อนข้างดีครับ โดยในรุ่นของ Wi-Fi จะเริ่มต้นที่ 20,900 บาท และถ้าหากเลือกเป็นรุ่น Wi-Fi + Cellular จะเริ่มที่ราคา 25,900 บาทครับ แต่ถ้าหากต้องการซื้อ iPad Air 4 (ชิป A14 Bionic) เราจะไม่สามารถสั่งซื้อผ่านทางเว็บไซต์ Apple ได้โดยตรงผ่านแล้วครับ ต้องหาซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายต่างๆ

โดยท่านผู้อ่านสามารถซื้อ iPad Air 4 (ชิป A14 Bionic) ผ่านทาง TruemoveH ได้ โดยในรุ่นของ Wi-Fi จะเริ่มต้นที่ 19,900 บาท แต่หากเป็นราคาลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิมจะอยู่ที่ 10,400 บาท และถ้าหากเลือกเป็นรุ่น Wi-Fi + Cellular จะเริ่มที่ราคา 24,900 บาทครับ แต่หากเป็นราคาลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิมจะอยู่ที่ 15,900 บาท ยังไม่รวมที่ทาง TruemoveH มีโปรโมชั่นควบคู่กับซื้อแพ็กเกจอินเตอร์เน็ต ก็จะได้ส่วนลดเพิ่มไปอีก ก็ต้องลองดูข้อมูลเพิ่มเติมกันนะครับ

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ iPad Air รุ่นใหม่นี้ มีอะไรที่ท่านผู้อ่านชอบหรือไม่ชอบกันบ้าง แต่ถึงยังไง ผมก็ยังแนะนำว่าหากจะซื้อ iPad Air ก็เลือกเป็นรุ่น iPad Air 5 (ชิป M1) เลยจะดีที่สุด เพราะว่าเราจะได้ใช้งานยาวๆ ไป อย่างน้อยก็อยู่ได้ประมาณ 3-4 ปีเลยละครับ หากคุณผู้อ่านมีความคิดเห็นอย่างไร ก็มาพิมพ์พูดคุยกันได้นะครับ