https://creators.trueid.net/s3/files/styles/cover_photo_1024w/public/inline-images/Screen Shot 2565-03-09 at 03.38.19 (2).png?itok=XlJKMyIw

คุณผู้ชมหลายท่านอาจจะเป็นสาวกของ Apple อย่างเช่นกับผมเอง และในทุกปีเหล่าสาวกของ Apple ก็ต่างเฝ้ารอคอยการเปิดตัวสินค้าและบริการใหม่ๆ มาให้เรารอเสียเงินอีกเช่นเคย โดยที่เมื่อคืนนี้ที่ผ่านมา (เวลาตี 1 วันที่ 9 มีนาคม 2565) ทาง Apple ก็ได้จัดงาน Apple Event อย่าง "Peek performance" โดยบทความของ TamKung วันนี้เราจะมาพูดกันว่า มีเรื่องอะไรน่าสนใจอะไรบ้าง

{tocify} $title={Table of Contents}

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า จริงๆ แล้วทาง Apple ก็เปิดตัวสินค้าออกมาแทบจะทุกปี และแทบจะตลอดทั้งปีเลยครับ ทั้งช่วงหน้าร้อน หน้าหนาว หรือการเป็นงานพิเศษตามโอกาสต่างๆ ก็เรียกได้ว่าอาจจะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับใครหลายๆ คน แต่สำหรับสาวก Apple อย่างผมนั้น รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นงานที่ Apple จัด ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาพูดกัน

ในส่วนของการเปิดตัวสินค้า เป็นงานเปิดตัวสินค้าประเภทของรุ่นเล็กๆ เบาๆ ไม่ได้จัดหนักมากเท่างาน Apple Event ช่วงปลายปี แต่ครั้งนี้เราก็ได้เห็นสินค้าใหม่ๆ ที่ทั้งพัฒนาตัวเก่ามาให้ดีขึ้น รวมถึงสินค้าที่ไม่คิดว่าจะทำขึ้นมากัน โดยในงานนี้มีสินค้าทั้งหมด 3 รายการหลักๆ

Apple TV+

https://creators.trueid.net/s3/files/styles/cover_photo_1024w/public/inline-images/20220309-1_0013_Screen Shot 2565-03-09 at 03.29.16 (2).jpg?itok=vXFC98Mv

ตอนเริ่มงาน ทาง Apple ก็ได้ประกาศความก้าวหน้าของ Apple TV+ เล็กน้อย กับ Apple Original Film ที่ได้ทำมาหลายปี ก็ยิ่งพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งได้คว้ารางวัลตามเวทีต่างๆ มา และได้ร่วมงานกับเหล่านักแสดงมากความสามารถได้อย่างต่อเนื่องนะครับ และทาง Apple TV+ ก็ประกาศจะพัฒนา Content ต่อไป ที่จะมีทั้ง ภาพยนตร์ ซีรีส์ สารคดี และ Aniamtion ต่อไปในอนาคตนั้นเองครับ

ต่อด้วยการอัปเดตเพิ่มสีให้กับ iPhone

https://creators.trueid.net/s3/files/styles/cover_photo_1024w/public/inline-images/20220309-1_0012_Screen Shot 2565-03-09 at 03.29.38 (2).jpg?itok=v-krLOj1

iPhone 13 และ iPhone 13 Pro ก็ได้เปิดตัวสีใหม่ อย่างสีเขียวอัลไพน์ (Alpine Green) โดยมีให้เลือกเพิ่มจากสีที่มีอยู่ 5 สี ก็ได้เพิ่มสีใหม่มาครับ

ในส่วนของราคา iPhone 13 Pro ราคาเริ่มต้น 38,900 บาท และ iPhone 13 Pro Max ราคาเริ่มต้น 42,900 บาท สามารถสั่งจองได้ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2565 และเริ่มวางจำหน่ายจริงวันที่ 25 มีนาคม 2565

iPhone SE ชิป A15 Bionic

https://creators.trueid.net/s3/files/styles/cover_photo_1024w/public/inline-images/20220309-1_0011_Screen Shot 2565-03-09 at 03.30.00 (2).jpg?itok=A3H2m1Ow

  • ชิป A15 Bionic ที่พร้อม GPU จำนวน 6-Core และ GPU จำนวน 4-Core
  • รูปทรงภายนอกมีการดีไซน์ใช้กระจกและอะลูมิเนียม ที่มาพร้อมจอภาพแสดงผลแบบ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว ซึ่งเอาตรงๆ มันก็เหมือนกับ iPhone 11 Pro เลย
  • การถ่ายภาพที่เรียกได้ว่ามีการพัฒนาขึ้น มาพร้อมกับกล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด ƒ/1.8 ซูมดิจิทัลได้สูงสุด 5 เท่า แถมมีโหมดการควบคุมระยะชัดลึกของภาพให้เราสามารถเพิ่มลูกเล่นให้ภาพถ่ายของเรามากขึ้น รองรับภาพแบบ Smart HDR 4 และรองรับการถ่ายวิดีโอขนาด 4K สูงสุด 60 fps
  • มาพร้อมปุ่ม Touch ID ที่คุ้นเคย และรองรับ 5G แล้ว รองรับ Wi-Fi 6 ที่เป็นมาตราฐานแบบ 802.11ax และมี NFC พร้อมโหมดตัวอ่านให้เอาไว้ใช้งานแตะและจ่ายได้สะดวกมากขึ้นครับ

https://creators.trueid.net/s3/files/styles/cover_photo_1024w/public/inline-images/20220309-1_0010_Screen Shot 2565-03-09 at 03.30.32 (2).jpg?itok=qQDLtxVH

มี 3 สีให้เลือกคือ สีดำ สีขาวและสีแดง(Red Product) ขนาดความจุให้เลือกตั้งแต่ 64 GB - 256 GB

ราคาเริ่มต้นที่ 15,900 บาท สามารถสั่งจองได้ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2565 และเริ่มวางจำหน่ายจริงวันที่ 25 มีนาคม 2565

iPad Air พร้อมชิป M1

https://creators.trueid.net/s3/files/styles/cover_photo_1024w/public/inline-images/20220309-1_0009_Screen Shot 2565-03-09 at 03.30.48 (2).jpg?itok=t6obFgDq

หลังจากที่ iPad Air ใช้ชิป A14 มานานแสนนาน ครั้งนี้ได้เวลาเปลี่ยนมาเป็นชิป M1 เหมือนรุ่นพี่ iPad Pro ต่างๆ แล้ว มาพร้อมกับการอัพเกรดสิ่งต่างๆ มากมาย

  • ชิป M1 ที่พร้อม CPU จำนวน 8-Core และ GPU จำนวน 8-Core แถมมี Neural Engine อีก 16-Core ที่จะช่วยให้ทำงานของ AI นั้นเร็วขึ้นในด้านการประมวลผลกราฟิกและการเล่นเกม และ RAM ขนาด 8GB ใช้งานบนระบบปฏิบัติการ iPadOS
  • หน้าจอแบบ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว มีการเคลือบผิวป้องกันแสงสะท้อนด้วย และยังคงใช้ปุ่ม Touch ID เพื่อใช้ลายนิ้วมือของเราในการปลดล็อค iPad
  • กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด ƒ/1.8 ซูมดิจิทัลได้สูงสุด 5 เท่าพร้อมฟีเจอร์อย่าง Center-Stage ที่จะช่วยให้กล้องแพนตามการเคลื่อนไหวของเราได้ แบบอัตโนมัติ และรองรับการถ่ายวิดีโอขนาด 4K สูงสุด 60 fps (มีกันสั่นใน 4K ด้วย)
  • การเชื่อมต่อเป็น USB-C หรือ USB 3.1 รุ่นที่ 2 สามารถใช้งานกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 และ Magic Keyboard ได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมรองรับ Wi-Fi 6 และในรุ่น Wi-Fi + Cellular ก็รองรับ Nano-SIM และแบบ eSim

https://creators.trueid.net/s3/files/styles/cover_photo_1024w/public/inline-images/20220309-1_0007_Screen Shot 2565-03-09 at 03.31.51 (2).jpg?itok=-0TRNyMO

มีขนาดความจุให้เลือกระหว่าง 64 GB กับ 256 GB มี 2 รุ่นให้เลือกคือ รุ่น Wi-Fi ราคาเริ่มต้นที่ 20,900 บาท และรุ่น Wi-Fi + Cellular ราคาเริ่มต้นที่ 25,900 บาท

มี 5 สีให้เลือก คือ สีเทาสเปซเกรย์ สีสตาร์ไลท์ สีชมพู สีม่วงและสีฟ้า ซึ่งตอนที่ผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่ยังไม่มีการกำหนดเวลาการจำหน่ายในประเทศไทยครับ

สินค้าตระกูล Mac

เปิดตัว Apple M1 Ultra

https://creators.trueid.net/s3/files/styles/cover_photo_1024w/public/inline-images/20220309-1_0005_Screen Shot 2565-03-09 at 03.32.08 (2).jpg?itok=dCpHIfMC

ก่อนอื่น ก่อนเราจะเข้าไปที่เรื่องของ Mac กัน เรามาเรื่องของชิปประมวลผลตัวใหม่ ที่พึ่งได้ประกาศอย่างเป็นทางการ อย่าง ชิป M1 Ultra ซึ่งเป็นหนึ่งในชิปตัวใหม่จากตระกูล M1 Family ครับ ซึ่งผมยอมรับตรงๆ ตอนที่ดูตอนเปิดตัว ผมอึ้งมากๆ ที่เขาจะมีขั้นกว่าของชิป M1 ครับ เรียกได้ว่าเป็นตัวชิปที่เร็วของเร็วที่สุดในตระกูล M1 ทั้ง 4 ตัว ซึ่งเขาอาศัยการเอาชิป M1 Max จำนวน 2 ตัวมาเชื่อมต่อกันนั้นเอง โดยเรียกว่า "UltraFusion" และมีความเร็วการส่งข้อมูลสูงถึง 2.5TB/s

มาพร้อม CPU Core รวมทั้งหมด 20-Core โดยแบ่งเป็น High-performance จำนวน 16-Core และแบบประหยัดพลังงานอีก 4-Core และ GPU อีก 64-Core รองรับ RAM สูงสุด 128 GB ที่มี Bandwidth ปริมาณการรับ และการส่งข้อมูลถึง 800GB/s และยังไม่พอ มี Neural Engine อีก 32-Core

https://creators.trueid.net/s3/files/styles/cover_photo_1024w/public/inline-images/20220309-1_0004_Screen Shot 2565-03-09 at 03.32.46 (2).jpg?itok=seHcbvVu

เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่สุดมากๆ สมชื่อกับชื่องานอย่าง Peek performance จริงๆ เลยละครับ เพราะว่าเขาได้มีการให้ผู้ใช้งานจากหลายประเภทงานใช้ดู แล้วมันสามารถทำให้งานทุกอย่างนั้นง่ายขึ้น เร็วขึ้น แม้แต่การเปิดโปรแกรมก็ทำได้เพียงไม่กี่วินาที รวมถึงการ Render สำหรับงาน 3D หรืองานวิดีโอก็ดูราบลื่นไปหมด เพราะว่ามี Media Engine นั้นเอง แถมยังใช้พลังงานที่น้อยกว่า เมื่อเทียบกับชิปที่มีคุณภาพและความสามารถเท่ากันในตลาดโลกของเราในตอนนี้ด้วยครับ

มีชิปใหม่ ก็ต้องมี Mac ใหม่กับการเปิดตัว Mac ตัวใหม่ที่เป็นการผสมผสาน Mac Mini กับ iMac เข้าด้วยกันอย่างลงตัว

Mac Studio

https://creators.trueid.net/s3/files/styles/cover_photo_1024w/public/inline-images/20220309-1_0018_Screen-Shot-2565-03-09-at-01.14.42-(2).jpg?itok=Dv3hBl7F

แน่นอนว่าต้องมาพร้อมกับชิปใหม่อย่าง M1 Ultra (แต่สินค้าให้เลือกได้ระหว่างชิป M1 Max กับ M1 Ultra) ที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพที่แรงมาก

  • โดยมีทั้งรุ่นชิปประมวลแบบ M1 Max ที่พร้อม CPU จำนวน 10-Core และ GPU จำนวน 24-Core และ Neural Engine แบบ 16-Core มีหน่วยความจำแบบรวม(RAM) ให้เลือกขนาด 32GB ประแต่งได้สูงสุด 64GB และ SSD ขนาด 512 GB โดยปรับแต่งได้สูงสุด 8 TB
  • และรุ่นชิปประมวลแบบ M1 Ultra ที่พร้อม CPU จำนวน 20-Core และ GPU จำนวน 48-Core และ Neural Engine แบบ 32-Core มีหน่วยความจำแบบรวม(RAM) ให้เลือกขนาด 64GB ปรับแต่งได้สูงสุด 128GB และ SSD ขนาด 1TB โดยปรับแต่งได้สูงสุด 8 TB
  • รองรับจอภาพได้สูงสุด 5 จอ โดยจะเป็นการรองรับ Pro Display XDR สูงสุด 4 จอ(ที่ความละเอียด 6K) ผ่านพอร์ต Thunderbolt 4 (USB-C) และ จอภาพ 4K จำนวน 1 จอ ผ่านพอร์ต HDMI
  • พอร์ตการเชื่อมต่อด้านหลังเครื่อง Thunderbolt 4 จำนวน 4 พอร์ต USB-A จำนวน 2 พอร์ต HDMI จำนวน 1 พอร์ต Eternet (ความเร็ว 10Gb/s) จำนวน 1 พอร์ต และช่องหูฟังแบบ 3.5 มม. จำนวน 1 พอร์ต
  • พอร์ตการเชื่อมต่อด้านหน้าเครื่อง โดยสิ่งที่มีเหมือนกันคือช่องเสียบการ์ด SDXC (UHS-II) และสิ่งที่จะต่างกันคือ ในรุ่นของ M1 Max จะเป็นพอร์ต USB-C จำนวน 2 พอร์ต (สูงสุด 10Gb/s) ส่วนรุ่น M1 Ultra จะเป็น พอร์ต Thunderbolt 4 จำนวน 2 พอร์ต (สูงสุด 40Gb/s) แทนครับ

https://creators.trueid.net/s3/files/styles/cover_photo_1024w/public/inline-images/20220309-1_0016_Screen Shot 2565-03-09 at 01.47.21 (2).jpg?itok=KLKQ2F5m

ซึ่งขนาดตัวเครื่องจะสูง 9.5 ซม. กว้าง 19.7 ซม. น้ำหนักไม่มาก เพียง 2.7-3.6 กิโลกรัมเท่านั้น

ในเรื่องของความเร็วไม่ต้องพูดถึง ด้วยความเก่งของชิปประมวลผลอย่าง M1 Max และ M1 Ultra แล้วนั้น เรียกได้ว่าเร็วแรงมากๆ ทำงานอะไรก็ลื่น เร็วไปหมด ทั้งงานด้านกราฟิก ด้านเสียงถือได้ว่าเป็นหนึ่งในคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดของ Apple เลยก็ว่าได้ และมาพร้อมราคาที่ค่อนข้างจะแรงแต่คุ้มค่าสำหรับการทำงานระดับ Studio ในเครื่องเพียงเครื่องเดียว

ในรุ่นของชิป M1 Max เริ่มต้นที่ราคา 69,900 บาท และรุ่นของชิป M1 Ultra ราคาเริ่มต้นที่ 139,900 บาท ซึ่งตอนที่ผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่ยังไม่มีการกำหนดเวลาการจำหน่ายในประเทศไทยครับ

Studio Display

https://creators.trueid.net/s3/files/styles/cover_photo_1024w/public/inline-images/20220309-1_0003_Screen Shot 2565-03-09 at 03.33.00 (2).jpg?itok=tSiBX8pa

จอภาพของ Apple ตัวที่ 2 ที่ออกมาพร้อมกับ Mac Studio ที่ให้เราเต็มอิ่มกับ Retina Display ขนาด 27 นิ้ว ในความละเอียดสูงถึง 5K และความสว่างสูงถึง 600 นิตทำให้จอมีความสว่างและสีที่แสดงออกมาก็ชัดเจน เพราะรองรับสีสันกว่า 1 พันล้านสี

  • เป็นจอที่มาพร้อมของเล่นอย่างกล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12MP พร้อมมุมมองภาพ 122องศา และรูรับแสงขนาด ƒ/2.4 รองรับฟีเจอร์ Center-Stage เหมือนบน iPad ครับ
  • และมีลำโพงระบบ 6 ลำโพง ที่รองรับเสียงแบบ Spatial Audio หรือเสียงตามตำแหน่ง และ Dolby Atmos พร้อมด้วยไมโครโฟน 3 ตัวแบบรับเสียง 3 ทาง ทำให้การรับเสียงนั้นดีมากยิ่งขึ้น
  • แถมให้เราเลือกฐานตั้งของจอได้ถึง 3 แบบ คือฐานตั้งที่ปรับความเอียงได้ ฐานตั้งที่ปรับความเอียงและความสูงได้ และอะแดปเตอร์ตัวยึด VESA ที่สามารถติดผนังได้
  • การเชื่อมต่อก็มีพอร์ต Thunderbolt 3 (USB-C) จำนวน 1 พอร์ต และพอร์ต USB-C จำนวน 3 พอร์ต รองรับอุปกรณ์ Mac ที่สามารถใช้ macOS Monterey 12.3 หรือใหม่กว่าได้ หรือจะเป็น iPad ที่สามารถใช้ iPadOS 15.4 หรือใหม่กว่าได้นั้นเองครับ

https://creators.trueid.net/s3/files/styles/cover_photo_1024w/public/inline-images/20220309-1_0000_Screen Shot 2565-03-09 at 03.34.32 (2).jpg?itok=Z993N0h4

ราคาเริ่มต้นที่ 54,900 บาท โดยจะเป็นแบบกระจกมาตรฐาน และหากเลือกเป็นกระจกแบบ Nano-Texture ก็จะเริ่มต้นที่ราคา 65,400 บาทครับ

นี้ก็คือสินค้าทั้งหมดที่ทาง Apple จัดงาน Peek performance ประจำปีนี้ครับ โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่า ก็มีสินค้าหลายตัวที่เรากำลังจับตามองนะครับ และผมก็รู้สึกว่าเจ้า Mac Studio มันก็น่าสนใจมากๆ ด้วยความผสมผสานระหว่าง Mac Mini กับ Mac Pro ในราคาที่เรียกได้ว่าเล็กลงแต่คุณภาพยังสุดยอด ในราคาที่จับต้องได้ เพื่อการทำงานที่พัฒนาไปอีกขั้นเลยครับ ไหนจะเป็นเรื่องของสีใหม่ของ iPhone 13 อย่างสีเขียวอัลไพน์ที่น่าจับตาของเหล่าสาวกคนชอบสีเขียวนะครับ แล้วเพื่อนๆ มีความรู้สึกอย่างไรกับสินค้าที่เปิดตัวใหม่นี้ ชอบไม่ชอบยังไง มาลองพูดคุยกันได้นะครับ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ก็ต้องอภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

หากใครต้องการรับชม Apple Keynote ย้อนหลังการเปิดตัวสินค้าในครั้งนี้ ก็สามารถเข้าไปรับชมได้ที่ท่าน Apple Event ได้ครับ