ถ้าพูดถึงมหานครปักกิ่ง ภาพจำของหลายคนอาจจะเป็นกำแพงเมืองจีนที่ทอดยาว หรือความขลังของพระราชวังต้องห้าม แต่ถ้าจะถามถึงสัญลักษณ์แห่ง "ยุคใหม่" ที่ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของจีนสู่สายตาชาวโลก ต้องยกให้ที่นี่เลยครับ "Olympic Green"
วันนี้ผมไม่ได้จะพามาแค่ถ่ายรูปเช็คอินแชะสองแชะแล้วกลับ แต่จะพามาเจาะลึกทุกซอกทุกมุม รู้ลึกไปถึงโครงเหล็กและแผ่นฟิล์ม ว่าทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงถูกยกย่องให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมแห่งศตวรรษที่ 21 และยังคงลมหายใจอยู่อย่างสง่างามแม้จะผ่านโอลิมปิกมาถึง 2 ครั้ง (2008 และ 2022) เตรียมรองเท้าผ้าใบให้พร้อม แล้วไปเดินสำรวจกันครับ
[review name="สนามกีฬาแห่งชาติปักกิ่ง" score="4.5" open="10:00-22:00" map="https://maps.app.goo.gl/9ssNjV5mKjrt2QNa7"]
สนามกีฬารังนก
สนามกีฬานี้ไม่ได้ถูกสร้างมาแค่ให้ดูแปลกตาครับ แต่มันคือการประสานพลังสมองของยอดฝีมือระดับโลก อย่าง Herzog & de Meuron (สถาปนิกรางวัล Pritzker จากสวิสฯ), Ai Weiwei (ศิลปินจีนชื่อดังที่เป็นที่ปรึกษาด้านศิลปะ), และวิศวกรโครงสร้างระดับเทพอย่าง Ove Arup
แนวคิด "เครื่องเคลือบแตกลายงา": เดิมทีแรงบันดาลใจมาจากลวดลายที่แตกร้าวอย่างสวยงามของเครื่องเคลือบดินเผาจีน (Crazed Pottery) ผสมกับช่องหน้าต่างไม้โบราณ แต่เมื่อสานโครงเหล็กซ้อนกันไปมาเพื่อรองรับน้ำหนัก ภาพที่ออกมากลับดูเหมือน "รังนก" ที่โอบอุ้มชีวิตและความหวัง ชาวจีนและชาวโลกจึงเรียกติดปากว่า "Bird's Nest" ตั้งแต่นั้นมาครับ
ทำไมต้องไม่มีผนัง?: สังเกตไหมครับว่าเรามองทะลุเข้าไปเห็นอัฒจันทร์สีแดงข้างในได้? การออกแบบนี้จงใจให้มีการระบายอากาศแบบธรรมชาติ (Natural Ventilation) ลมและแสงแดดสามารถผ่านเข้าออกได้อิสระ ช่วยลดความร้อนและลดการใช้พลังงาน เป็น Green Architecture ยุคบุกเบิกเลยครับ
เหล็กล้วนๆ: ใช้เหล็กกล้าไปกว่า 42,000 ตัน! และต้องเป็นเหล็กเกรดพิเศษที่คิดค้นมาเพื่อโปรเจกต์นี้โดยเฉพาะ เพื่อให้ทนต่อแรงดึงและแผ่นดินไหวได้
ความซับซ้อน: โครงสร้างเหล็กที่เห็นสานกันมั่วๆ จริงๆ แล้วผ่านการคำนวณทางวิศวกรรมมาอย่างละเอียดยิบ ทุกเส้นมีหน้าที่รับน้ำหนัก ไม่มีเส้นไหนใส่มาเล่นๆ ครับ
ความจุ: พื้นที่มหึมา 258,000 ตร.ม. จุผู้ชมได้สูงสุด 91,000 ที่นั่ง (ช่วงโอลิมปิก) ปัจจุบันปรับลดลงมาเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานจริง แต่ก็ยังยิ่งใหญ่จนรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียวเมื่อเข้าไปยืนกลางสนาม
ปักกิ่งเป็นเมืองแรกในโลกที่จัดทั้ง Summer & Winter Olympics และรังนกแห่งนี้ก็รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพพิธีเปิด-ปิดทั้งสองงาน! (2008 และ 2022) ปัจจุบันในฤดูหนาว พื้นที่ภายในจะถูกเนรมิตให้เป็น "Happy Snow and Ice Season" เป็นสวนสนุกหิมะใจกลางเมืองให้นักท่องเที่ยวมาเล่นสไลเดอร์และสกีได้ด้วยนะครับ!
สนามกีฬาทางน้ำ
"ลูกบาศก์มหัศจรรย์: เมื่อฟองสบู่กลายเป็นกำแพง"
ห่างจากรังนกไปทางทิศตะวันตกแค่นิดเดียว คุณจะเจอกับความแตกต่างที่ลงตัว ตึกทรงสี่เหลี่ยมสีฟ้าใสที่ดูนุ่มนิ่มน่าสัมผัส นี่คือ Water Cube ครับ
ความลับของ "ผิวหนัง" ตึก (ETFE Technology)
สิ่งที่เห็นเหมือนพลาสติกหุ้มตึกนั้น ไม่ใช่กระจกและไม่ใช่พลาสติกธรรมดาครับ แต่มันคือ ETFE (Ethylene Tetrafluoroethylene)
เบาหวิวดั่งขนนก: วัสดุนี้มีน้ำหนักเพียง 1% ของกระจกในขนาดเท่ากัน แต่เหนียวและทนทานมาก
ทำความสะอาดตัวเองได้: ฝุ่นเกาะยากมาก และเมื่อฝนตก ชะล้างเพียงครั้งเดียว ตึกก็จะกลับมาใสปิ๊งเหมือนใหม่
เรือนกระจกอัจฉริยะ: ช่องว่างระหว่างแผ่นฟิล์มทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อน เก็บกักความอุ่นในหน้าหนาว และสะท้อนแดดในหน้าร้อน แถมยอมให้แสงธรรมชาติผ่านได้ถึง 90% ประหยัดไฟค่าแสงสว่างไปได้มหาศาล (วันไหนแดดดีๆ ข้างในแทบไม่ต้องเปิดไฟเลยครับ!)
กลายร่างเป็น "Ice Cube" (冰立方)
นี่คือความเจ๋งล่าสุด! เพื่อต้อนรับ Winter Olympics 2022 วิศวกรจีนได้ดัดแปลงสระว่ายน้ำให้กลายเป็น สนามแข่งเคอร์ลิง (Curling) หรือเปตองน้ำแข็ง ได้สำเร็จ! โดยเปลี่ยนชื่อเรียกเล่นๆ ว่า "Ice Cube" เป็นการแปลงโฉมที่ล้ำมากๆ ครับข้างในมีอะไร?
นอกจากสระมาตรฐานโอลิมปิกแล้ว ด้านในยังมี Water Park สวนน้ำขนาดใหญ่ที่มีสไลเดอร์และคลื่นเทียมให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้าไปเล่นได้ด้วยนะครับ ใครอยากลองว่ายน้ำในบรรยากาศระดับโลก ต้องจัดชุดว่ายน้ำใส่กระเป๋ามาด้วย
รู้ไหมครับว่าการวางตำแหน่งของสองสนามนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่แฝงปรัชญาจีนโบราณไว้ลึกซึ้ง
รังนก (ทรงกลม/วงรี): เป็นตัวแทนของ "สวรรค์" (Heaven)
Water Cube (ทรงสี่เหลี่ยม): เป็นตัวแทนของ "โลก/ผืนดิน" (Earth)
ตามคติจีนโบราณที่ว่า "ฟ้ากลม ดินเหลี่ยม" (Tian Yuan Di Fang) เมื่อสองสิ่งนี้มาอยู่คู่กัน ขนาบข้างแกนกลางของเมืองปักกิ่ง จึงหมายถึงความสมดุลและความเป็นสิริมงคลสูงสุดของประเทศนั่นเองครับ
จุดถ่ายรูปห้ามพลาด & ช่วงเวลาแนะนำ
Reflection Pool: บริเวณลานกว้างระหว่างรังนกและ Water Cube จะมีสระน้ำตื้นๆ อยู่ ถ้ามาช่วงลมสงบ คุณจะได้ภาพเงาสะท้อนน้ำของทั้งสองตึกที่สวยจนลืมหายใจ
Ling Long Pagoda (หอหลิงหลง): หอคอยทรงเจดีย์แก้วที่อยู่ใกล้ๆ กัน เป็นฉากหลังที่ตัดกับความดิบของรังนกได้ดีมาก
Beijing Olympic Tower: หอคอยสูงที่มีสัญลักษณ์ 5 ห่วงโอลิมปิกอยู่ด้านบน เป็นจุดสังเกตที่มองเห็นได้แต่ไกล
Golden Time: ผมแนะนำให้มาช่วง 16:00 - 19:30 น. ครับ
16:00: เดินถ่ายรูปแสงเย็น เดินดูโครงสร้างชัดๆ
18:30 เป็นต้นไป: ไฮไลท์เด็ด! รอชม Light Up ครับ รังนกจะเปิดไฟสีแดงส้มดูร้อนแรง ส่วน Water Cube จะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ทั้งม่วง ฟ้า ชมพู ตัดกันสวยงามมาก (เตรียมขาตั้งกล้องมาได้เลย!)
การเดินทาง: ไปยังไงให้โปร? (Detailed Guide)
แม้จะมีหลายวิธี แต่ผมขอสรุปวิธีที่ "เวิร์ค" ที่สุดให้ครับ
วิธีที่ 1: รถไฟใต้ดิน
นั่ง Line 8 (สายสีเขียวอ่อน) ซึ่งเป็นสายที่สร้างเพื่อโอลิมปิกโดยเฉพาะ
ลงสถานี Olympic Sports Center (奥林匹克体育中心)
ออก Exit B1 หรือ B2 เดินขึ้นมาปุ๊บ จะเจอกับลานกว้างและเห็นรังนกตั้งตระหง่านอยู่ขวามือ Water Cube อยู่ซ้ายมือเลยครับ ไม่ต้องเดินหาให้เมื่อย
วิธีที่ 2: รถเมล์ + ใต้ดินสาย 10 (สำหรับสายชิลล์ ชมเมือง)
ถ้าใครพักอยู่แถวเส้น Line 10 แล้วอยากนั่งรถเมล์ชมวิว:
ลงสถานี Beitucheng (Line 10) ออกทางออก D2
ต่อรถเมล์สาย 82, 538, หรือ 113 (สายรถเมล์อาจมีการปรับเปลี่ยน แนะนำให้ดูป้ายไฟที่เขียนว่าไป National Stadium)
นั่งมาลงป้าย National Stadium East (Guo Jia Ti Yu Chang Dong) จะถึงฝั่งรังนกพอดีครับ
ข้อควรระวังและทริปเล็กๆ น้อยๆ
Security Check: จีนเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยมาก การเข้าลาน Olympic Green ต้องผ่านเครื่องสแกนกระเป๋า และ ต้องพกพาสปอร์ต ติดตัวไปด้วยเสมอนะครับ (บางทีมีการสุ่มตรวจ)
ตั๋วเข้าชม:
เดินถ่ายรูปข้างนอก: ฟรี! (คนส่วนใหญ่เลือกแบบนี้)
เข้าไปดูข้างในรังนก: ประมาณ 50 หยวน
เข้าไปดูข้างใน Water Cube: ประมาณ 30 หยวน
ราคาอาจเปลี่ยนแปลง แนะนำเช็คหน้าเคาน์เตอร์อีกทีครับ
ห้องน้ำ: มีให้บริการเป็นจุดๆ ในสวนสาธารณะ สะอาดใช้ได้ครับ แต่อาจจะต้องเตรียมทิชชู่ไปเองเผื่อไว้
ของกิน: มีตู้น้ำอัตโนมัติและร้านขายของที่ระลึกที่มีขนมขาย แต่ราคาจะสูงกว่าข้างนอกนิดหน่อย แนะนำให้พกน้ำดื่มติดตัวไปสักขวดครับ